นั่งกินลม ชมมรดกวัฒนธรรม ณ สวนสันติชัยปราการ
พาย้อนชมงาน "ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์" โซน นั่งกินลม ชมมรดกวัฒนธรรม ณ สวนสันติชัยปราการ
“เกาะหลีเป๊ะ” เป็นเกาะกลางทะเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ตอนล่าง เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยความที่เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน มนตร์เสน่ห์ของมันย่อมเป็นน้ำทะเลสีมรกตที่ใสจนสะกดสายตาได้ตั้งแต่แรกเห็น
การเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะ หากตั้งต้นจากกรุงเทพฯ เราจะใช้เวลานั่งเครื่องบินประมาณหนึ่งชั่วโมง ปลายทางคือสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อด้วยรถตู้นั่งยาวราวสองชั่วโมงไปจนถึงท่าเรือปากบารา จ.สตูล และปิดท้ายการเดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ต ซึ่งก็ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการนั่งเรือไปถึงเกาะ
เป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงที่กลืนกินพลังชีวิต ทว่าเมื่อเครื่องยนต์ของเรือดับลง นักท่องเที่ยวต่างเคลื่อนไหวเตรียมตัวลงจากเรือ ภาพแรกในครรลองสายตากลับพัดพาความรู้สึกเหนื่อยล้าหายไปจนหมดสิ้น
คำว่าหลีเป๊ะนั้นฟังไม่คล้ายกับเป็นภาษาไทย ซึ่งอันที่จริงคำว่าหลีเป๊ะเป็นชื่อที่ชาวเลใช้เรียกเกาะนี้ เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “นิปัส” ในภาษามลายู ซึ่งมีความหมายว่าบางหรือแบนเรียบเหมือนแผ่นกระดาษ นั่นเพราะเกาะหลีเป๊ะมีลักษณะแบนราบ ไม่ค่อยมีภูเขาสูงนัก ดังนั้นหากแปลเป็นไทย ก็จะได้ชื่อว่าเกาะกระดาษนั่นเอง
แต่เดิมเกาะนี้มีชาวเลอาศัยอยู่มาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ซึ่งปัจจุบันเกาะหลีเป๊ะก็ได้กลายเป็นเกาะท่องเที่ยวไปแล้ว เอกลักษณ์อย่างแรกที่มองเห็นได้ชัดเจน คือทะเลสีมรกตที่ใสจนสามารถมองเห็นปะการังใต้น้ำ จนมีการขนานนามว่าเป็นมัลดีฟส์ประเทศไทย
…แต่หากถามผู้เขียน เราคิดว่าหลีเป๊ะก็คือหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่มีมนตร์เสน่ห์เฉพาะตัว ชวนให้ผู้คนอยากแวะเวียนกลับมาอีกไม่รู้เบื่อ
เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะขนาดเล็ก ประกอบไปด้วย 3 ชายหาด ได้แก่ หาดพัทยา หัดซันไรส์ และหาดซันเซต
ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ (หรือหาดซันไรส์) จะเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวเล ชาวพื้นเมืองเดิม เป็นกลุ่ม อูรักลาโวยจ หรือ อูรักลาโว้ย ซึ่งมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ประกอบอาชีพประมง ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาชายหาดทั้งสามบนเกาะ เกาะซันไรส์จะเป็นเกาะที่มีชีวิตชีวาที่สุด ทั้งน้ำทะเลสีฟ้างดงาม ชายหาดสีขาว และหากมองไกลออกไปนอกท้องทะเล ก็จะเห็นน้ำทะเลสีมรกตตัดกับสีน้ำเงินเข้มชัดเจน ราวกับมีคนหยดเม็ดสีแต่งแต้มให้ท้องทะเลแห่งนี้งดงามตรึงตา ทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการดำรงชีวิต ริมฝั่งเรียงรายไปด้วยเรือประมงจอดเทียบหาด หาดซันไรส์จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองบนเกาะ ผ่านการใช้ชีวิตของผู้คนและสิ่งปลูกสร้าง
และที่ไม่ยกมากล่าวถึงไม่ได้ นั่นคือหาดซันไรส์เป็นชายหาดที่ไปปรากฏอยู่ในบทความของหนังสือพิมพ์ Daily Star ของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้จัดอันดับ “20 อันดับชายหาดสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2022” (World’s 20 most beautiful beaches) โดยได้แนะนำสถานที่ที่ควรค่าแก่การเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดฤดูร้อนมากที่สุด และหาดซันไรส์ก็ได้ครอบครองอันดับที่ 6 อย่างไร้ข้อกังขา
หาดถัดไปนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ เนื่องเพราะเป็นหาดที่ผู้เขียนปักหลักไว้ว่าต้องไปเยือนสักครั้ง
“หาดซันเซต” เป็นหาดที่ได้ชื่อว่าเงียบสงบที่สุดบนเกาะ ตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก ดังนั้นจึงเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุด แม้ชายหาดจะไม่สวยงามเท่าหาดอื่น ๆ เนื่องจากปะปนไปด้วยเศษหินและเปลือกหอยเสียส่วนใหญ่ ทั้งยังเงียบสงบจนค่อนข้างวังเวง แต่ถ้าใครที่อยากนั่งโง่ ๆ ทิ้งสายตาทอดมองท้องทะเลอย่างเงียบเชียบ ดื่มด่ำกับแสงสุดท้ายแห่งวัน หาดนี้นับว่าตอบโจทย์ที่สุด
หากกล่าวว่าหาดซันไรส์คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หาดซันเซตก็เป็นดั่งสถานที่พักใจให้แก่คนที่เหนื่อยล้า ให้เราได้ขว้างปาความหนักอึ้งในใจให้จมดิ่งลงท้องทะเลไปพร้อมกับดวงอาทิตย์
และหาดสุดท้ายของเกาะขนาดเล็กแห่งนี้ แม้ว่าผู้เขียนจะนำมาพูดถึงเป็นสถานที่สุดท้าย ทว่าใครก็ตามที่เดินทางมายังเกาะหลีเป๊ะ ก็จำต้องพบกับ “หาดพัทยา” ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากหาดนี้เป็นที่ตั้งของท่าเรือ เป็นจุดรับนักท่องเที่ยว ดังนั้นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือความวุ่นวาย (ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหาดพัทยามากนัก นอกจากไอศกรีมอร่อย)
นอกจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะ เราจะได้พบกับนักท่องเที่ยวจากฝั่งยุโรป 90% นักท่องเที่ยวจากฝั่งเอเชีย 3% และคนไทยอีก 7% (จัดอันดับโดยผู้เขียนเอง) ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องเตรียมใจไว้ในการเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะ คือค่าครองชีพค่อนข้างสูง แต่ก็เข้าใจว่าด้วยระยะทางและความห่างไกล ทำให้มีปัจจัยด้านต้นทุนการขนส่งและการนำเข้าสินค้าที่พื้นที่บนฝั่งอาจไม่มี
และหากถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำบนเกาะ ผู้เขียนสามารถแบ่งประเภทได้เป็นชายหาด ร้านอาหาร บาร์ และถนนคนเดิน เนื่องจากเกาะหลีเป๊ะมีพื้นที่เล็กมาก จุดท่องเที่ยวหลัก ๆ จึงมีเพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องการเดินทางบนเกาะ หากไม่เดินเท้าก็จะมีรถซาเล้งที่ชาวบ้านเรียกกันว่าแท็กซี่หลีเป๊ะ ราคาเหมา ๆ หัวละ 50 บาทไปได้ทุกที่ ซึ่งก็นับว่าสะดวกดี แต่แนะนำว่าให้ทำใจไว้เพราะถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ…มาก
ก่อนมายังเกาะนี้ ผู้เขียนจินตนาการภาพในหัวไว้ว่าเกาะหลีเป๊ะอาจจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวเลทางภาคใต้ จำพวกหนังตะลุง ศาลามุงจาก บ้านใต้ถุนยกสูง อะไรทำนองนั้น แต่ผิดคาด อาจเป็นเพราะเกาะนี้โดนหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมที่ค่อนข้างหลากหลาย และไม่อาจทราบได้ว่าหลอมรวมคลุกเคล้าไปด้วยอะไรบ้าง สถานที่ส่วนใหญ่บนเกาะแห่งนี้ถึงได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็น “ฮิปปี้” ทั้งดนตรี บาร์ ร้านอาหาร (บางแห่ง) เสื้อผ้า หรือกระทั่งการแสดงยอดฮิตอย่างการควงไฟ ทุกอย่างพร้อมใจให้กลิ่นอายของวัฒนธรรมโบฮีเมียนอย่างชัดเจน แม้กระทั่งอาหาร ซึ่งกล่าวได้ว่าสัดส่วนของร้านอาหารทะเลและร้านอาหารตะวันตกนั้นแทบจะพอ ๆ กันเลย (อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าอาหารประจำเกาะแห่งนี้อาจเป็นโรตี) ซึ่งก็นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ เป็นความสวยงามทางวัฒนธรรมที่เกินคาด และแน่นอนว่ามันน่าประทับใจ
หลายครั้งมากที่เมื่อสอบถามประสบการณ์จากคนที่เคยมายังสถานที่แห่งนี้ พวกเขามักตบท้ายเรื่องเล่าด้วยคำว่า “อยากกลับไปที่หลีเป๊ะอีกครั้ง” ในตอนนั้นผู้เขียนไม่ค่อยเข้าใจ—เดินทางก็ไกล ค่าใช้จ่ายก็แพง ทำไมถึงเป็นที่โปรดปรานนัก
แต่เพราะคำว่า “สักครั้งในชีวิต” ที่ทำให้ผู้เขียนเลือกเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ ท้ายที่สุดขณะที่กำลังพิมพ์บทความบอกเล่าเรื่องราว เลือกรูปถ่ายที่ตัวเองชอบเพื่อจะใส่ในบทความนี้ ความคิดหนึ่งที่ยังคงแวบกลับเข้ามาในหัวเสมอ
นั่นคือ “อยากกลับไปอีกสักครั้งจัง”
และถ้ามีโอกาส หวังว่าภายภาคหน้าการเดินทางจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
นักเขียนอิสระที่ถนัดด้านการจิบกาแฟ เล่นหมา เลี้ยงแมว และถ่ายทอดสิ่งที่บังเอิญพบผ่านลงบนหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์