วันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) กำหนดให้เป็นวันภาษาแม่สากลหรือวันภาษาแม่นานาชาติ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000) ด้วยมีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนการอนุรักษ์และปกป้องภาษาทุกภาษาของคนบนโลก เหตุที่ต้องเป็นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นเพราะในวันนี้เกิดเหตุการณ์เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการใช้ภาษาบังคลา หรือภาษาเบงกาลีซึ่งเป็นภาษาแม่ของนักศึกษาชาวบังกลาเทศในปากีสถาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสีย ดังนั้นยูเนสโกจึงกำหนดให้วันนี้ของทุกปีเป็นวันภาษาแม่สากล เพื่อให้มนุษยชาติตระหนักถึงพลังและความสำคัญของภาษาแม่ รวมถึงสิทธิทางภาษาของทุกกลุ่มชาติพันธุ์บนโลก

          พอใกล้ถึงวันภาษาแม่สากลแบบนี้ ทำให้ผู้เขียนได้นึกถึงประสบการณ์ช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้มีโอกาสรู้จักและเรียนรู้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์กูย ที่จังหวัดสุรินทร์ ครั้งนั้นนับเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากสำหรับผู้เขียน เพราะภาษากูยเป็นภาษาพูดแต่ไม่มีตัวอักษรสำหรับบันทึก ความรู้หลาย ๆ อย่างของชาติพันธุ์กูยถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการบอกเล่าและการลงมือทำสืบต่อกันมา แต่แน่นอนว่ามีความรู้อีกไม่น้อยที่หล่นหายไปตามกาลเวลาเพราะไม่มีเครื่องมือในการจดบันทึกความรู้เหล่านั้นไว้เป็นมรดกของชาติพันธุ์ ผู้เขียนจึงตระหนักถึงความสำคัญของตัวอักษรเสมอมานับแต่นั้น

          มาถึงตรงนี้เห็นจะต้องขอเข้าเรื่องเสียทีหลังจากอารัมภบทอยู่นาน นักอ่านที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ โดยเฉพาะคนที่เคยอ่านงาน(อยาก)เขียนของผู้เขียนมาบ้างคงพอจะทายได้ว่าเรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะเขียนต่อไปนี้คือเรื่องเกี่ยวกับอะไร…..ถ้าทายว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรเวียดนามล่ะก็ คุณทายถูกร้อยเปอร์เซ็น

          ภาษาเวียดนามเป็นภาษาแม่ของชาวเวียดนามและเป็นภาษาประจำชาติของประเทศเวียดนามด้วย ตามประวัติศาสตร์แล้วเวียดนามมีตัวอักษรที่ใช้จดบันทึกถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ ตัวอักษรหาน (จื๊อ หาน- Chữ Hán) ตัวอักษรโนม (จื๊อ โนม – Chữ Nôm) และตัวอักษรก๊วก หงือ (จื๊อก๊วก หงือ – Chữ Quốc Ngữ)

          ก่อนจะพูดถึงตัวอักษรแต่ละประเภท ขอย้อนกลับไปในสมัยประวัติศาสตร์เวียดนามก่อนยุคที่จีนจะเข้ามาในดินแดนเวียดนามสักนิด ในช่วงเวลานั้นเวียดนามมีตัวอักษรเฉพาะของตนเองอยู่แล้วเรียกว่า “ตัวอักษรควา เดิ่ว” (Khoa Đẩu) มีความหมายว่าลูกอ๊อด เพราะตัวอักษรนี้มีรูปร่างเหมือนลูกอ๊อด ตัวอักษรเวียดนามโบราณนี้ถูกสลักไว้บนวัตถุโลหะที่ตกทอดมาสู่ลูกหลานเพื่อใช้บูชาบรรพบุรุษ

ตัวอักษรเวียดนามโบราณ (Khoa Đẩu) (ด้านขวา)

การหายไปของตัวอักษรเวียดนามโบราณและการเข้ามาของตัวอักษรจีน

          ตัวอักษรเวียดนามโบราณหรือควา เดิ่ว แทบไม่ถูกพูดถึงในฐานะตัวอักษรรูปแบบหนึ่งของเวียดนามในปัจจุบัน การหายไปของตัวอักษรเวียดนามโบราณเกิดขึ้นนับแต่จีนเข้ามารุกรานดินแดนเวียดนามและปกครองเวียดนามอยู่เป็นพันปี การเข้ามาของจีนนั้นเข้ามาพร้อมกับนโยบายการกลมกลืนหลายด้านรวมถึงการนำเอาภาษาจีนและตัวอักษรจีน หรือที่เรียกว่า จื๊อ หาน (Chữ Hán) เข้ามาในเวียดนาม โดยนำเอาภาษาและตัวอักษรจีนเข้าสู่ระบบการศึกษาและการสอบราชการ แม้ต่อมาในสมัยราชวงศ์โง (ค.ศ. 938) เวียดนามจะเป็นอิสระจากการปกครองของจีนแล้วแต่ตัวอักษรจีนยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่องในสังคมเวียดนามโดยเฉพาะในกลุ่มปัญญาชนและชนชั้นสูง ทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาวัฒนธรรมของเวียดนามอย่างมาก แต่ใช่ว่าภาษาจีนจะไม่มีข้อจำกัด เพราะอย่างไรตัวอักษรจีนก็เป็นตัวอักษรต่างชาติทำให้ตัวอักษรจีนไม่สามารถตอบสนองและแสดงความหมายของภาษาเวียดนามได้ครบถ้วนทั้งหมด อีกข้อหนึ่งคือสำหรับคนที่ต้องการเรียนภาษาจีนให้เก่งจะต้องใช้เวลาเรียนนานกว่า 10 ปีทีเดียว นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ความรู้ตัวอักษรจีนจำกัดอยู่เฉพาะคนบางกลุ่มในเวียดนามสมัยนั้นด้วย

          ถึงอย่างนั้นตัวอักษรจีนก็ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาตัวอักษรรูปแบบต่อมาของเวียดนามนั่นก็คือ อักษรโนม คำว่า โนม (Nôm) มาจากคำว่า “Nam” มีความหมายว่า “ทางใต้” ดังนั้น อักษรโนมจึงหมายถึงอักษรที่ใช้เพื่อจดบันทึกเสียงพูดของคนทางใต้ นั่นคือชาวเวียดนามนั่นเอง ชาวเวียดนามพัฒนาอักษรนี้มาจากอักษรจีนและปรับให้เป็นการออกเสียงของเวียดนาม ใช้สำหรับเขียนภาษาเวียดนาม แม้จะมีหน้าตาคล้ายกันแต่อักษรโนมหลายตัวที่ไม่มีความหมายในภาษาจีน การพัฒนาตัวอักษรโนมไม่ได้พัฒนาเพียงแค่รูปแบบเท่านั้น แต่ยังเอาคำจีนมาใช้เป็นจำนวนมากทำให้ในภาษาเวียดนามมีการเรียกสิ่ง ๆ หนึ่งด้วยคำ 2 คำ หนึ่งคือคำจีน-เวียดนาม (Từ Hán-Việt) กับคำภาษาเวียดนามแท้ (Từ Thuần Việt) อักษรโนมพัฒนาสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งหลักฐานแสดงการพัฒนาถึงขีดสุดของอักษรโนมก็คือการใช้ตัวอักษรโนมเขียนวรรณกรรมเรื่องดังของของเวียดนามชื่อเรื่องว่า “นางเกี่ยว” (Truyện Kiều) ของเหงวียน ซู (Nguyễn Du) ในสมัยราชวงศ์เหงวียนของเวียดนาม

“นางเกี่ยว” วรรณกรรมเวียดนามที่บันทึกด้วยอักษรโนม

“อักษรก๊วก หงือ” กับการเดินทางมาถึงของอาณานิคมตะวันตกในดินแดนเวียดนาม

          ตัวอักษรรูปแบบสุดท้ายซึ่งเป็นตัวอักษรที่เวียดนามใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวอักษรก๊วก หงือ (Quốc Ngữ) หรือตัวอักษรของชาติ ตัวอักษรนี้เป็นตัวอักษรละตินหรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยก็คือ ตัวอักษรอย่างภาษาอังกฤษแต่เพิ่มเครื่องหมายกำกับระดับเสียงหรือวรรณยุกต์เข้าไป ตัวอักษรก๊วก หงือ เป็นตัวอักษรที่มิชชันนารีตะวันตกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการจดบันทึกภาษาเวียดนามสำหรับใช้ในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ หากพูดถึงตัวอักษรนี้เชื่อว่าหลายคนที่พอรู้ที่มาของภาษาเวียดนามอยู่บ้างคงนึกถึงมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส Alexandre De Rhodes ผู้ที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้ตัวอักษรก๊วก หงือ เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้นับถือศาสนาคริสต์ แต่จะขอเพิ่มเติมสักหน่อยว่าสำหรับในหมู่ประชาชนชาวเวียดนามแล้ว ผู้ที่มีบทบาทในการทำให้ตัวอักษรของชาติเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ เจือง วินห์ กี๊ (Trương Vĩnh Ký) เขาเป็นคนแรกที่เขียนและแปลหนังสือจากตัวอักษรจีนเป็นตัวอักษรของชาติ

          อักษรก๊วก หงือ เริ่มใช้ในโคชินไชน่า ก่อนถูกใช้ในตังเกี๋ยและอันนัมต่อมา (ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเวียดนามในฐานะอินโดจีนฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้แบ่งเวียดนามเป็น 3 เขต ได้แก่ ตังเกี๋ยทางตอนเหนือ อันนัมทางตอนกลาง และโคชินไชน่าทางตอนใต้)

หนังสือที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรก๊วก หงือ (ด้านขวา)

“ก๊วก หงือ” ตัวอักษรที่ถูกเลือก

          มีคำพูดที่มีชื่อเสียงของ ฝ่าม กวิ่ง (Phạm Quỳnh) ที่ผู้เขียนแปลจากภาษาเวียดนามได้ความว่า “ภาษาเรายัง ชาติเราอยู่” หมายความว่า ตราบใดที่ยังมีภาษา นั่นหมายความว่าเรายังมีชาติ คำว่า “เรา” ในนัยยะว่า “ของเรา” ทำให้ผู้เขียนสงสัยขึ้นมาว่า เพราะเหตุใดเวียดนามจึงไม่เลือกใช้ตัวอักษรโนม ซึ่งเป็นตัวอักษร “ของเรา” ตามทัศนะของผู้เขียน เพราะเป็นอักษรที่เวียดนามพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเองสำหรับบันทึกคำในภาษาเวียดนามโดยเฉพาะ จึงลองค้นคว้าและพิจารณารูปแบบของตัวอักษรแต่ละแบบอีกครั้งหนึ่งก็พบว่า “ความง่าย” อาจเป็นคำตอบ

          ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของตัวอักษรก๊วก หงือ คืออ่านง่ายและเขียนง่าย ทำให้ตัวอักษรนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางแซงหน้าตัวอักษรจีนและตัวอักษรโนมที่มีความซับซ้อนกว่า แม้อักษรโนมจะเป็นตัวอักษรที่เวียดนามพัฒนาขึ้นเองแต่ก็มีเค้ามาจากอักษรจีนอยู่ดี ทำให้ผู้ที่จะใช้อักษรโนมได้ต้องมีความรู้อักษรจีนมาก่อนส่วนหนึ่ง ส่วนตัวอักษรจีนนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะความซับซ้อนในการเขียนตัวอักษรนั้นทำให้ผู้เรียนต้องใช้เวลานาน ซึ่งบางทีอาจนานกว่าสิบปีจึงจะเชี่ยวชาญตัวอักษรจีนจริง ๆ

          การเขียนก็ง่าย การอ่านก็ง่ายของตัวอักษรก๊วก หงือ นี่เองทำให้ตัวอักษรก๊วก หงือ ทำหน้าที่ขจัดความไม่รู้หนังสือของผู้คนในสังคมเวียดนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตัวอักษรจีนหรือแม้แต่ตัวอักษรโนมที่มีข้อจำกัดมากกว่า ตัวอักษรของชาติมีส่วนทำให้ความรู้กระจายสู่ประชาชนชาวเวียดนามอย่างกว้างขวางมากขึ้น อันเป็นผลดีต่อการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศของเวียดนาม

          เวลาต่อมาตัวอักษรก๊วก หงือ ถูกนำเข้าสู่ระบบการศึกษาตลอดจนใช้ในการบันทึกวรรณกรรมเวียดนามทั้งวรรณกรรมที่เคยบันทึกด้วยอักษรโนม เช่น วรรณกรรมเรื่อง “นางเกี่ยว” ของเหงวียน ซู และวรรณกรรมยุคใหม่ ๆ พร้อมกับการกำเนิดโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์ในราวศตวรรษที่ 20 ยิ่งทำให้ตัวอักษรนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดเวียดนามก็เลือกตัวอักษรก๊วก หงือ เป็นอักษรของชาติเพื่อจดบันทึกเรื่องราวของชาติต่อไป ส่วนตัวอักษรโนมนั้น แม้จะไม่ได้ใช้ในปัจจุบันแต่ยังคงได้รับการรักษาให้คงอยู่ผ่านการศึกษาและวิจัยของกลุ่มนักวิชาการผู้สนใจอย่างต่อเนื่อง

          ตัวอักษรไม่ใช่เพียงแค่เครื่องบันทึกเสียง คำ หรือประโยคของกลุ่มคนเท่านั้น แต่ตัวอักษรยังทำหน้าที่ในการรักษาและสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันมีค่าของชาติพันธุ์ให้คงอยู่ด้วย

References

  • https://www.blockdit.com/posts/6213481d8161e277dafc8c1c
  • https://chuvietcolacviet.vn/nghiencuu/detail/hanh-trinh-di-tim-chu-khoa-dau-phan-1-307.html
  • https://baovinhlong.com.vn/van-hoa-giai-tri/201604/tim-hieu-ve-chu-viet-cua-dan-toc-viet-nam-qua-cac-thoi-dai-2679683/index.htm
  • https://monkey.edu.vn/ba-me-can-biet/giao-duc/hoc-tieng-viet/nguoi-tao-ra-bang-chu-cai-tieng-viet
  • https://bacnhabook.vn/chu-nom-la-gi-chu-nom-chu-han-va-chu-quoc-ngu-co-gi-khac-nhau/
    -https://congdankhuyenhoc.vn/khoa-dau-chu-viet-cua-nguoi-viet-co-79220608135611512.htm
  • https://baophapluat.vn/chuyen-it-nguoi-biet-ve-cuon-sach-chu-quoc-ngu-dau-tien-post304981.html
  • https://openedu.vn/Kho-tri-thuc/CHU-QUOC-NGU-CHU-NUOC-TA-TU-ALEXANDRE-DE-RHODES-dEN-TRUONG-VINH-KY
  • https://www.arts.chula.ac.th/~east/vietnam/vietlang.html

Writer